อาการปวดศีรษะไมเกรน เป็นอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองจากอาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็ง (Tension type headache) พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-3 เท่า มักเริ่มมีอาการครั้งแรกตอนช่วงวัยรุ่นถึงวัยกลางคน ปวดศีรษะไมเกรนสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
ไมเกรนที่ไม่มีอาการเตือน (Migraine without aura) พบมากที่สุดในกลุ่มที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน
ไมเกรนที่มีอาการเตือน (Migraine with aura) อาการเตือนที่พบบ่อย ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ โดยจะเห็นแสงเป็นเส้นซิกแซกคล้ายฟันเลื่อย อาจจะมีหรือไม่มีสี หรือเห็นภาพมืดไปเป็นบางส่วน หรือมองเห็นภาพไม่ชัด หลับตาแล้วยังเห็นได้อยู่ หรือเห็นภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาการผิดปกติของการมองเห็นจะเคลื่อนที่อย่างช้าๆ อาการเตือนอื่นๆ เช่น อาการชาที่มือ-แขน หรือชารอบปาก, ไม่สามารถพูดได้ชั่วคราวหรือนึกชื่อไม่ออก, หรือมีอาการอ่อนแรงของแขน-ขาซีกหนึ่งของร่างกาย เป็นต้น

สาเหตุของปวดศีรษะไมเกรน
อาการปวดศีรษะไมเกรน เกิดจากความผิดปกติของระบบไฟฟ้าที่ผิวสมอง ทำให้สมองเกิดการกระตุ้นได้ง่ายและไวกว่าคนปกติ หลังจากสมองถูกกระตุ้นแล้ว จะเกิดกระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามผิวของสมองอย่างช้าๆ (ทำเกิดอาการการเตือนขึ้นมา) กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนี้ทำให้การไหลเวียนของเลือดในสมองเปลี่ยนแปลงไป และยังไปกระตุ้นเส้นประสาทสมอง ทำให้เกิดการหลั่งสารสื่อประสาทบางชนิด มีผลทำให้หลอดเลือดสมองเกิดการขยายตัวและเกิดการอักเสบขึ้น เป็นผลทำให้มีอาการปวดศีรษะในที่สุด
ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับการรักษาช้า จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของระบบรับความเจ็บปวดในสมอง ทำให้มีอาการปวดศีรษะที่รุนแรงขึ้น ความถี่ของการปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้น, ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด, อาจพบอาการเจ็บแปล๊บๆ ที่บริเวณรอบกระบอกตาหรือหนังศีรษะได้ และพบความผิดปกติของสมองจากการตรวจด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (พบสมองฝ่อเล็กลง และมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อสมองสีขาว)
ลักษณะอาการปวดศีรษะที่จำเพาะกับปวดศีรษะไมเกรน คือ จะมีอาการปวดศีรษะข้างเดียว อาจย้ายข้างได้ แต่มักเป็นทีละข้าง ลักษณะการปวดเป็นแบบตุ้บๆ (คล้ายเส้นเลือดเต้น) ความรุนแรงของอาการปวดจะรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก การทำกิจวัตรทั่วไป เช่น การเดินหรือขึ้นบันได จะทำให้อาการปวดศีรษะเป็นมากขึ้น อาการจะดีขึ้นถ้าได้พักผ่อนอยู่นิ่งๆในห้องที่มืดและเย็น ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับรักษาไม่เหมาะสม อาการปวดศีรษะจะเป็นอยู่นาน 4-72 ชั่วโมง
อาการร่วมอื่นๆที่พบร่วมกับอาการปวดศีรษะ คือ อาการคลื่นไส้ หรืออาเจียน มีอาการไวต่อแสง ไม่อยากเห็นแสงจ้า และไม่อยากได้ยินเสียงดัง
ในผู้ป่วยบางรายจะพบว่ามีสิ่งกระตุ้น ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนขึ้นมา เช่น ภาวะเครียด, การอดนอน, การนอนและตื่นที่ไม่เป็นเวลา, ช่วงที่เป็นประจำเดือน, กลิ่นหรือควัน, การเปลี่ยนแปลงของอากาศ หรือ ความร้อน, แสงแดด, อาหารบางชนิด (อาหารหมักดอง, ชีส, ไวน์) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรสังเกตและพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นนั้น
สังเกตและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และตรงตามเวลาทุกวัน
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหมจนเกินไป
งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke)
งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ, ชา, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น
ในผู้ที่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมกำเนิด ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
ถ้าอาการปวดศีรษะรุนแรงมากขึ้น หรือมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ปวดศีรษะไมเกรนเป็นโรคเรื้องรัง สามารถควบคุมได้ด้วยการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง และการใช้ยาอย่างเหมาะสม เมื่ออายุมากขึ้นมักจะมีอาการปวดศีรษะลดลง การรักษาปวดศีรษะไมเกรน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1. ระยะที่มีอาการปวดศีรษะเฉียบพลัน ใช้เฉพาะเวลามีอาการปวดศีรษะเท่านั้น และให้รับประทานยาหลังจากที่เริ่มมีอาการปวดศีรษะทันที จะได้ผลในการรักษาอาการปวดศีรษะที่ดี
ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล, ยาลดการอักเสบที่ไม่ไช่สเตียรอด์ (NSAIDs) เป็นต้น
ยาที่เฉพาะเจาะจงกับไมเกรน เช่น ยากลุ่มทริปแทน (triptan) หรือ ยาที่มีส่วนผสมของเออโกทามีน (ergotamine) ซึ่งออกฤทธิ์ที่เส้นเลือดสมองโดยตรง
ยาสำหรับลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
2. ระยะที่ไม่ปวดศีรษะ (ยาป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน) ต้องรับประทานติดต่อกันทุกวัน
กลุ่มยากันชัก เช่น Topiramate, Valproic acid เป็นต้น
กลุ่มยาปิดกั้นตัวรับแคลเซียม เช่น Flunarizine, Cinnarizine, Verapamil เป็นต้น
กลุ่มยาปิดกั้นตัวรับเบต้า เช่น Propanolol, Atenolol, Metoprolol เป็นต้น
3. กลุ่มยาต้านอาการซึมเศร้า เช่น Amitriptyline, Nortriptyline, Duloxetine, Velafaxine เป็นต้น กรณีมีอาการปวดศีรษะไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน สามารถรับประทานยา ยาลดการอักเสบที่ไม่ไช่สเตียรอด์ หรือ ยากลุ่มทริปแทน ในช่วงก่อนมีประจำเดือนประมาณ 2-3 วัน และรับประทานยาต่อจนหมดประจำเดือน 4-5 วัน
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : bangkokhospital