เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานพืชผักต่างๆ นั้นเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคนทุกคน แล้วทราบกันหรือไม่ว่าพืชผักต่างๆที่รับประทานไปนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ในพืชผักส่วนใหญ่จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ในบางชนิดอาจมากถึง 70 – 85 % ของน้ำหนักทั้งหมด เช่น ผักประเภทใบต่างๆ แต่ในบางชนิดอาจมีปริมาณน้ำไม่มาก โดยประมาณ 10 – 75 % ของน้ำหนักทั้งหมด เช่น ผักประเภทหัวต่างๆ ความแตกต่างของปริมาณน้ำนี้ขึ้นอยู่กับชนิด พันธุ์ และอายุของพืชผักด้วย นอกจากน้ำแล้ว พืชผักยังประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต, วิตามินและเกลือแร่ รวมถึงใยอาหาร ส่วนโปรตีนและไขมันนั้นจะพบในปริมาณที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งโปรตีนส่วนใหญ่ที่พบในพืชผักจะอยู่ในรูปของเอนไซม์ซึ่งจำเป็นต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในเซลล์พืช และไขมันส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์พืช ในองค์ประกอบต่างๆ ของพืชผักเหล่านี้มีรงควัตถุ (pigments) หรือสารสีที่ทำให้พืชผักมีสีสันต่างๆ นั้น เช่น สีเขียวของคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) สีส้มหรือสีเหลืองของแคโรทีนอยด์ (carotenoid) สีม่วงหรือสีน้ำเงินของแอนโทไซยานิน (anthocyanin) เป็นต้น ซึ่งรงควัตถุเหล่านี้จัดเป็นสารอินทรีย์ในพืชที่อยู่กลุ่มของวิตามินและเกลือแร่ ที่ไม่ใช่สารอาหารแต่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายในด้านอื่น เช่น การจับกับอนุมูลอิสระที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งในร่างกาย ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะรงควัตถุที่ทำให้พืชมีสีเขียวหรือคลอโรฟิลล์นั่นเอง
คลอโรฟิลล์เป็นสารสีที่สำคัญตัวหนึ่งที่สามารถดูดกลืนพลังงานแสงเพื่อนำมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เพื่อเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ ให้กลายเป็นออกซิเจน และกลูโคส ซึ่งเกิดขึ้นในออร์แกเนลล์ ที่เรียกว่า คลอโรพลาสต์ ที่พบได้ในเซลล์พืช และสาหร่ายบางชนิด และการที่เรามองเห็นพืชผักมีสีเขียวก็เนื่องมาจากว่าเมื่อแสงขาวมาตกกระทบบนคลอโรฟิลล์ แล้วคลอโรฟิลล์สามารถดูดกลืนแสงในช่วงคลื่นแสงสีน้ำเงินและสีแดงไว้ได้มาก แต่ปล่อยให้ช่วงคลื่นแสงสีเขียวทะลุ และสะท้อนออกมาได้ ดังนั้นแสงที่ปรากฏสู่ตาเราจึงเป็นสีเขียวนั่นเอง

นอกจากนี้คลอโรฟิลล์ยังสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 ชนิดด้วยกัน ดังนี้
1. คลอโรฟิลล์ a มีสีเขียวแกมน้ำเงินโดยสามารถพบได้ทั่วไปในพืชชั้นสูงทุกชนิดที่สังเคราะห์แสงได้
2. คลอโรฟิลล์ b มีสีเขียวแกมเหลืองพบได้ในพืชชั้นสูง และสาหร่ายสีเขียว
3. คลอโรฟิลล์ c ไม่พบในพืชชั้นสูง แต่จะพบได้ในสาหร่ายชนิดต่างๆ เช่น สาหร่ายสีน้ำตาล และสีทอง
4. คลอโรฟิลล์ d ก็ไม่พบในพืชชั้นสูงเช่นกัน แต่จะพบได้ในสาหร่ายสีแดง รวมทั้งแบคทีเรียที่สังเคราะห์แสงได้ (cyanobacteria)
คลอโรฟิลล์ และคลอโรฟิลลินได้ถูกนำมาศึกษาวิจัยถึงการนำมาใช้ประโยขน์เกี่ยวกับการบำบัดรักษาโรคในด้านต่างๆ ตั้งแต่ช่วงต้นคริสตทศวรรษ 1940s เช่น การศึกษาถึงการนำคลอโรฟิลลินมาใช้ในการรักษาบาดแผล,การศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของคลอโรฟิลลินในการต่อต้านการอักเสบ, รวมถึงการวิจัยถึงการนำคลอโรฟิลลินมาช่วยในการดับกลิ่นภายในที่เกิดจากแผลผ่าตัด เช่น การผ่าตัดลำไส้ ซึ่งจะเห็นว่าโดยส่วนใหญ่แล้วในการศึกษาวิจัยนั่นจะเป็นการศึกษาวิจัยโดยใช้คลอโรฟิลลินเป็นหลัก เนื่องมาจากคุณสมบัติในการละลายน้ำได้ของคลอโรฟิลลิน อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น อีกทั้งคลอโรฟิลลินยังมีความเสถียรมากว่าคลอโรฟิลล์อีกด้วย ส่วนในปัจจุบันนี้มีการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ และคลอโรฟิลลินในเรื่องของความสามารถในการยับยั้งสารก่อมะเร็งกำลังเป็นที่สนใจ โดยพบว่าทั้งคลอโรฟิลล์ และคลอโรฟิลลิน สามารถที่จะจับกับโมเลกุลของสารเคมีบางชนิด เช่น benzo(a) pyrene, aflatoxin, และ โลหะหนัก (heavy metal) เป็นต้น ที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้ เช่น ในงานวิจัยของ Dr. Roderick Dashwood จากมหาวิทยาลัยฮาวายได้มีการทดลองให้คลอโรฟิลลิน แก่สัตว์ทดลองที่ได้รับสารก่อมะเร็ง aflatoxin B1 เข้าไป ผลคือ มีการลดลงของปริมาณ DNA ที่ถูกทำลายโดย aflatoxin B1 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นไปได้ว่าการจับกันของคลอโรฟิลล์ หรือ
คลอโรฟิลลินกับสารก่อมะเร็ง เหล่านี้อาจจะไปรบกวนการพืชผักสีเขียวเหล่านี้ในทางเดินอาหาร ส่งผลให้ปริมาณสารก่อมะเร็งที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายลดลง
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ศึกษาในกลุ่มศึกษาอาสาสมัครในประเทศจีนในเมืองที่มีอัตราการเกิดมะเร็งในตับสูงเนื่องจากได้รับสารพิษ aflatoxin จากการบริโภคอาหารประเภทถั่วลิสง เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ที่ปนเปื้อนเชื้อรา aflatoxin พบว่าหลังจากได้รับคลอโรฟิลลิน ปริมาณ 100 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวัน ทุกวัน เป็นเวลา 4 เดือน ปริมาณ DNA ที่เสียหายจาก aflatoxin ลดลงถึง 55 % และจากการศึกษาของสถาบัน Linus Pauling, มหาวิทยาลัย Oregon state โดย Professor George S. Bailey แสดงให้เห็นว่าทั้งคลอโรฟิลล์และคลอโรฟิลลิน มีประสิทธิภาพเท่าๆ กันในการ ยับยั้งสารก่อมะเร็ง aflatoxin B1 เข้าสู่ร่างกาย อย่างไรก็ตามงานวิจัยเหล่านี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังคงต้องทำการวิจัยต่อไปเพื่อค้นหาคำตอบสำหรับหลายๆ คำถามทั้งในเรื่องของการป้องกัน การรักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคผักที่มีคลอโรฟิลล์กับเสริมด้วยการรับประทานคลอโรฟิลลิน
หลายคนคงเคยสังเกตุหรืออาจสงสัยว่า ทำไมเมื่อเวลาปรุงอาหารไม่ว่าจะเป็นการผัดหรือการต้มอาหารจำพวกพืชผักสีเขียวจะมีการเปลี่ยนแปลงของสีจากสีเขียวกลายเป็นสีเขียวสดในช่วงแรกๆ และหากใช้เวลาในการต้มนานขึ้นจากสีเขียวสดจะมีการเปลี่ยนเป็นสีเขียวแก่หรือสีเขียวมะกอก
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เกิดมาได้จาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การที่พืชผักได้รับความร้อนจากการปรุงอาหาร หรือการที่พืชผักมีการสัมผัสกับสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด จากสองปัจจัยดังกล่าวนี้เอง จะทำให้อะตอมแมกนีเซียมที่อยู่ตรงศูนย์กลางของ porphyrin ring หลุดออก และถูกแทนที่ด้วยอะตอมของไฮโดรเจน กลายเป็นโมเลกุลที่เรียกว่า Pheophytin ซึ่งการเปลี่ยนของโครงสร้างนี้เองที่ทำให้สีเขียวสดของพืชผักเปลี่ยนเป็นสีเขียวแก่หรือสีเขียวมะกอก และหากเรายิ่งให้ความร้อนแก่พืชผักสีเขียวนานเกินไปก็จะยิ่งทำให้พืชผักสูญเสียคลอโรฟิลล์ไปมากเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น บร็อคโคลี่ หากเรานำไปต้มเป็นเวลานานถึง 20 นาที ปริมาณคลอโรฟิลล์จะสูญเสียไปถึงสองในสามส่วนทีเดียว แต่ในผักบางชนิด เช่น ผักโขม การนำไปนึ่งในระยะเวลาสั้นๆ จะช่วยเพิ่มการดูดซึมคลอโรฟิลล์เข้าสู่ร่างกายเราได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองจึงได้มีการกำหนดระยะเวลาในการนึ่งช่วงสั้นๆ สำหรับพืชผักสีเขียว เพื่อรักษาปริมาณของคลอโรฟิลล์เอาไว้ แต่อย่างไรก็ตามวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาคลอโรฟิลล์ไม่ให้สูญเสียไป ก็คือการเลือกบริโภคพืชผักสดๆ ที่ปลอดจากสารพิษนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลที่ดีๆ จาก : biology